อะโวคาโด
ลักษณะทางธรรมชาติ
* เป็นพืชอายุยืนหลายสิบปี ทรงพุ่มขนาดกลางถึงใหญ่ ไม่ผลัดใบแม้ช่วงพักต้นหน้าแล้งปัจจุบันนิยมปลูกในเขตภาคเหนือ เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภท เนื้อดินลึก อินทรีย์วัตถุมากๆ ระบายน้ำดี และไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังค้างนาน
* ต้องการความชื้นหน้าดินและความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศค่อนช้างสูง
* ช่วงพักต้นหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้องการความแล้ง หลังจากพักต้นสู่แตกใบอ่อนจนกระทั่งถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตต้องการน้ำสม่ำเสมอ
* ต้นที่ปลูกจากเพาะเมล็ดมีรากแก้ว หาอาหารเก่ง ติดผลดก ให้ผลผลิตเมื่ออายุต้น 7-8 ปีหลังปลูก ต้นที่ปลูกจากกิ่งตอนให้ผลผลิตเมื่ออายุต้น 2-3 ปีหลังปลูก
* ใช้พันธุ์โทปา-โทปา. หรือแม็กซิโคลา. เพาะเมล็ดแล้วเปลี่ยนยอดเป็นพันธุ์ดีที่ต้องการจะได้ต้นที่มีคุณสมบัติดีพร้อมทุกประการ
* เป็นพืชน้ำมัน ดังนั้นการปฏิบัติบำรุงให้ต้นได้รับสารอาหารสม่ำเสมอต่อเนื่องตั้งแต่ให้ผลผลิตปีกแรกก็จะให้ผลผลิตทุกปี แต่ถ้าปีใดต้นได้รับสารอาหารน้อยจะเว้นให้ผลผลิตและอาจจะเว้นต่อไปในรุ่นปีการผลิตถัดไปด้วย ดังนั้น การปฏิบัติบำรุงจะต้องเน้น การสะสมอาหารเพื่อการออกดอก และ ปรับ ซี/เอ็น เรโช. ให้เต็มที่จริงๆเท่านั้น
* ให้ผลผลิตปีละ 1 รุ่น ออกดอกติดผลที่ท้องกิ่งแก่ และตามลำต้น ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศผสมตัวเองหรือต่างดอกในต้นเดียวกันหรือต่างต้นได้
สายพันธุ์
กลุ่มกัวเตมาลัน. ได้แก่พันธุ์ เทเลอร์. นาเมล. แฮสส์. ฮิกสัน. ลินดา. ปากช่อง 1-14. ปากช่อง 2-8. เป็นสายพันธุ์ที่ชอบอากาศค่อนข้างเย็น ทนต่อสภาพอากาศน้อยหรือเย็นปานกลางได้สูง ผลขนาดกลางถึงใหญ่ ผิวเปลือกสีเขียวเข้ม ขั้วผลขรุขระ เนื้อหนาและไขมันสูง เปลือกผลหนา อายุผลผลิตตั้งแต่ผสมติดถึงเก็บเกี่ยว 8 เดือน
กลุ่มพันธุ์แม็กซิกัน. ได้แก่พันธุ์ พลูบา. โทปา-โทปา. แม็กซิโคล่า. ทนต่อสภาพอากาศเย็นจัดได้ดีมาก อายุผลผลิตตั้งผสมติดถึงเก็บเกี่ยว 6-7 เดือน
กลุ่มพันธุ์เวสอินเดียน. ได้แก่พันธุ์ ฟูเซีย. ซิมมอนต์. รูเฮิร์ต. คาโน. โพลล็อค. วอลติน. แทรฟ. เจริญเติบโตดีในสภาพอากาศร้อน ไม่ทนต่อสภาพอากาศเย็น ผิวเปลือกสีเขียวอมเหลือง ผิวผลเรียบเป็นมันวาว เปลือกผลบาง เนื้อมีไขมันน้อย รสหวานเล็กน้อย อายุผลผลิตตั้งแต่ผสมติดถึงเก็บเกี่ยว 6-8 เดือน
สายพันธุ์นิยมปลูกในประเทศไทย ได้แก่ รูเฮิร์ต. โพลล็อก. และคาโน. เป็นพันธุ์เบา ออกดอกตั้งแต่ ต.ค. – ก.พ. และสายพันธุ์ ลินดา. บูซ-7. บูซ-8 เป็นพันธุ์หนัก ออกดอกตั้งแต่ ธ.ค. – ก.พ.
พันธุ์บูซ-7 ให้ผลดกมากจนบางครั้งต้องซอยผลออกทิ้งบ้าง ปกติติดผลดกทุกปีแต่ปีใดต้นได้รับสารอาหารแบบสะสมต่อเนื่องไม่ดีพอจะเว้นปีให้ผลผลิต เนื้อสีเหลืองอ่อน รสชาติดี เก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่ ต.ค. – ธ.ค.
พันธุ์บูซ-8 ให้ผลดกมาก ติดผลเป็นพวง 1-3 ผล เนื้อสีครีมอ่อน รสชาติพอใช้ได้ เก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่ ต.ค. – ธ.ค.
พันธุ์โพลล็อก ให้ผลดกปานกลาง ขนาดผลใหญ่ ผิวผลสีเขียวอ่อนมีจุดประสีเขียวอมเหลืองกระจายทั่วผล เมื่อแก่เนื้อสีเหลืองอมเขียวและเมื่อบ่มสุกเนื้อสีม่วงหรือเขียวอมเหลือง เก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่ ก.ค. – ส.ค.
ขยายพันธุ์
เพาะเมล็ด (หลายพันธุ์และให้ผลผลิตช้ามาก). ตอน (ดีที่สุด).
ระยะปลูก
ระยะปกติ 6 X 6 ม. หรือ 8 X 8 ม.
ระยะชิด 4 X 4 ม. หรือ 4 X 6 ม.
เตรียมดิน และอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา...แห้งเก่าข้ามปี) ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
- ให้กลูโคสเฉพาะช่วงสำคัญ เช่น เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ สะสมอาหาร บำรุงผลกลาง ช่วงละ 1-2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 20-30 วัน........ถ้าให้บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นเกิดอาการนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อสารอาหารหรือฮอร์โมนใดๆทั้งสิ้น
- ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
เตรียมต้น
ตัดแต่งกิ่ง :
ให้ตัดกิ่งกระโดง กิ่งในทรงพุ่ม กิ่งคดงอ กิ่งชี้ลง กิ่งไขว้ กิ่งหางหนู กิ่งเป็นโรค กิ่งมุมแคบ และกิ่งแห้งตาย ให้ตัดออกทั้งหมด ลักษณะทรงพุ่มที่ดีควรมีใบด้านนอกทึบแต่ภายในรงพุ่มต้องโปร่ง
ตัดแต่งราก :
- อะโวคาโดต้นอายุยังน้อยไม่ควรตัดแต่งราก แต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการหาอาหารดียิ่งขึ้นใช้วิธีล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน
- ต้นอายุหลายปี ระบบรากเก่าและแก่มาก ให้พิจารณาตัดแต่งรากส่วนปลายออก 1 ใน 4 ด้วยการพรวนดินรอบทรงพุ่มลึก 10-15 ซม. หลังจากให้ฮอร์โมนบำรุงรากไปแล้วต้นจะแตกรากใหม่จำนวนมากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการดูดซับสารอาหารได้ดีกว่าเดิม
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่ออะโวคาโด
1.เรียกใบอ่อน
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 25-5-5 (200 กรัม) หรือ 46-0-0 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + จิ๊บเบอเรลลิน10 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1 ครั้งต่อการเรียกใบอ่อน 1 ชุด ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ลงมือปฏิบัติทันทีหลังตัดแต่งกิ่งและตัดแต่งรากเสร็จ เป็นการเรียกใบอ่อนชุดแรกของปีการผลิต วัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูสภาพต้นเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมา
- อะโวคาโดไม่จำเป็นต้องแตกใบอ่อนพร้อมกันทั้งชุด เพราะเมื่อถึงช่วงออกดอกก็ออกไม่พร้อมกันทั้งต้นอยู่แล้ว
2.สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ติดต่อกัน 2-3 รอบแล้วให้ น้ำ 100 ล. + นมสัตว์สดหรือกลูโคส 100 ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี. + กลูโคสหรือนมสัตว์สด 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. สลับ 1 รอบ ฉีดพ่นพอเปียกใบ ติดต่อกัน 1-2เดือน จะช่วยให้ต้นสมบูรณ์เต็มที่
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 หรือ 9-26-26 (1-2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติหลังจากใบอ่อนชุดสุดท้ายเพสลาด
- แนวทางบำรุงให้ต้นได้สะสมอาหารเพื่อการออกดอกไว้มากที่สุดควรเตรียมแผนใช้เวลาบำรุง 2 เดือน โดยให้กลูโคสหรือนมสัตว์สดรอบแรกเมื่อเริ่มลงมือบำรุง และให้รอบสองห่างจากรอบแรก 20-30 วัน
- ไม้ผลที่ผ่านการบำรุงมาอย่างดีแล้วต้องกระทบหนาวจึงออกดอกดีนั้น ช่วงขั้นตอนสะสมอาหารเพื่อการออกดอก ถ้ามีการให้ “นมสัตว์สดหรือกลูโคส + 0-52-34 หรือ 0-42-56 + สังกะสี” ฉีดพ่นพอเปียกใบ ช่วงเช้าแดดจัด 1-2 รอบ ให้รอบแรกเมื่อเริ่มลงมือบำรุงสะสมอาหารเพื่อการออกดอก จากนั้น อีก 20 วัน ให้อีกเป็นรอบ 2 ก็จะช่วยให้ต้นเกิดอาการอั้นตาดอกและส่งผลให้เปิดตาดอกแล้วมีดอกออกมาดีอีกด้วย
- วัตถุประสงค์เพื่อให้ต้นได้สะสมสารอาหารทั้งกลุ่มสร้างดอก-บำรุงผล (ซี.) และกลุ่มสร้างใบ-บำรุงต้นไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนกระทั่งเกิดอาการอั้นตาดอก ไม่มีการแตกใบอ่อนออกมาอีก ถ้าต้นแตกใบอ่อนออกมาใหม่ก็จะต้องย้อนกลับไปบำรุงที่ขั้นตอนเร่งใบอ่อนให้เป็นใบแก่อีกครั้งซึ่งทำให้เสียเวลา
- ปริมาณ 8-24-24 หรือ 9-26-26 ใส่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณการติดผลในรุ่นที่ผ่านมา กล่าวคือ ถ้ารุ่นที่ผ่านมาติดผลดกมาก ผลผลิตมีคุณภาพดีมาก ให้ใส่ในปริมาณที่มากขึ้น แต่ถ้ารุ่นที่ผ่านมาติดผลดกน้อยหรือไม่ติดผลเลย ให้ใส่ในปริมาณปานกลาง
- การเพิ่มปริมาณปุ๋ยให้มากขึ้น หมายถึง การให้อัตราเดิมแต่ระยะเวลาให้ถี่ขึ้น เช่น จากเคยให้ 15 วัน/ครั้งก็ให้เปลี่ยนเป็น 10 วัน/ครั้ง
3.ปรับ ซี/เอ็น เรโช
ทางใบ :
- ในรอบ 7 วันให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56 (200 กรัม) + ธาตุรอ/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
1 รอบกับให้น้ำ 100 ล.+ นมสัตว์สดหรือกลูโคส 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 25 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. อีก 1-2 รอบฉีดพ่นพอเปียกใบ ระวังอย่าให้โชกจนตกลงถึงพื้น จนกระทั่งต้นเริ่มเกิดอาการใบสลดหรืออั้นตาดอกดี
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้นโดยการนำอินทรียวัตถุคลุมโคนต้นออกให้แดดส่องได้ทั่วพื้นดินทรงพุ่ม
- งดให้น้ำเด็ดขาด กรณีสวนยกร่องน้ำหล่อจะต้องสูบน้ำออกให้หมด
หมายเหตุ :
- วัตถุประสงค์เพื่อ “เพิ่ม” ปริมาณ ซี. (อาหารกลุ่มสร้างดอก-บำรุงผล) และปรับ “ลด” ปริมาณ เอ็น. (อาหารกลุ่มสร้างใบ-บำรุงต้น) ซึ่งจะส่งผลให้ต้นออกดอกหลังการเปิดตาดอก
- ต้นที่มีอาการอั้นตาดอกดีจนพอใจแล้วไม่ต้องฉีดพ่นกลูโคสหรือนมสัตว์สดเพิ่มอีกแต่ถ้าต้นมีอาการอั้นตาดอกไม่ดีหรือยังไม่น่าพอใจ แนะนำให้ฉีดพ่นกลูโคสหรือนมสัตว์ทางใบอีกซ้ำอีก 1 รอบ โดยเว้นระยะเวลาให้ห่างจากที่เคยให้เมื่อช่วงสะสมอาหารไม่น้อยกว่า 30-45 วัน
- การให้สารอาหารทางใบซึ่งมีน้ำเป็นส่วนผสมนั้น อย่าให้โชกจนตกลงถึงพื้นเพราะจะกลายเป็นการให้น้ำทางราก แนวทางปฏิบัติ คือ ให้บางๆเพียงเปียกใบเท่านั้น
- เมื่องดน้ำ (ไม่รดน้ำ) แล้วต้องควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นไม่ให้มากเกินไปโดยการทำร่องระบายน้ำใต้ดินหรือร่องสะเด็ดน้ำด้วย
- มาตรการเสริมด้วยการ “รมควัน” ทรงพุ่มช่วงหลังค่ำครั้งละ 10-15 นาที 3-5 รอบห่างกันรอบละ 2-3 วัน จะช่วยให้การปรับ ซี/เอ็น เรโช สำเร็จเร็วขึ้น
4.เปิดตาดอก
ทางใบ :
สูตร 1....น้ำ 100 ล.+ 13-0-46 (1 กก.)+ 0-52-34 (500 กรัม) + สาหร่ายทะเล 50 กรัม + ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
สูตร 2....น้ำ 100 ล.+ ฮอร์โมนไข่ 200 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 กรัม
ทางราก :
- ยังคงเปิดหน้าดินโคนต้นเหมือนช่วงปรับ ซี/เอ็น เรโช
- ใส่ปุ๋ยทางรากสูตร 8-24-24 หรือ 9-26-26 (1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติเมื่อต้นมีอาการอั้นตาดอกดีทั่วต้นและสภาพอากาศพร้อม
- ระหว่างสูตร 1- 2 ใช้สลับกัน ห่างกันครั้งละ 5-7 วัน
- การใช้สาหร่ายทะเลร่วมในการเปิดตาดอกจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อต้นเกิดอาการอั้นตาดอกเต็มที่ ถ้าต้นอั้นตาดอกไม่เต็มที่ต้นจะแตกใบอ่อนแทน
- หลังจากเปิดตาดอกแล้ว ธรรมชาติของอโวคาโดจะทยอยออกดอกมาเรื่อยๆ ไม่เป็นชุด ระหว่างที่ดอกชุดแรกยังเป็นดอกตูมอยู่นั้น ให้เปิดตาดอกซ้ำอีก 1-2 รอบด้วยสูตรเดิม หรือจนกระทั่งดอกชุดแรกบานแล้วจึงยุติการเปิดตา
ดอกซ้ำ
5.บำรุงดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 10-45-10 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 100 ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียก ระวังอย่าให้โชกจนลงถึงพื้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ยังคงเปิดหน้าดินโคนต้น
- ใส่ 8-24-24 หรือ 9-26-26 (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ช่วงดอกตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นหรือระยะดอกตูมบำรุงด้วยฮอร์โมน เอ็นเอเอ. 1-2 รอบ จะช่วยบำรุงเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียให้สมบูรณ์พร้อมรับผสม แต่ต้องใช้ด้วยระมัดระวังเพราะถ้าให้เข้มข้นเกินไปจะเกิดความเสียหายต่อดอกและถ้าให้อ่อนเกินไปก็จะไม่ได้ผล....เพื่อความมั่นใจในเปอร์เซ็นต์หรือประสิทธิ
ภาพของฮอร์โมน เอ็นเอเอ. แนะนำให้ใช้ฮอร์โมน เอ็นเอเอ.วิทยาศาสตร์แทนฮอร์โมน เอ็นเอเอ.(ทำเอง) ซึ่งจะได้ผลดีกว่าเพราะเปอร์เซ็นต์ความ
เข้มข้นแน่นอนกว่า
- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน. 1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี
- ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุดตามความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก ฉีดพ่นที่ช่อดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่งทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
- บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น “สังกะสี และ แคลเซียม โบรอน” โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ให้แบบเดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
- ช่วงดอกตูมควรฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงจนถึงช่วงดอกบาน
- ช่วงดอกบานควรงดการฉีดพ่นทางใบโดยเฉาะช่วงกลางวัน (08.00-12.00 น.) เพราะอาจทำให้เกสรเปียกจนผสมไม่ติดได้ หากจำเป็นต้องฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้ฉีดพ่นช่วงหลังค่ำ
- ระยะดอกบาน ถ้าตรงกับช่วงฝนชุกเกสรจะเปียกชื้นทำให้ผสมไม่ติด แก้ไขโดยกะระยะเวลาเปิดตาดอกให้ดอกออกมาแล้วไม่ตรงกับช่วงฝนชุกเท่านั้น แต่ถ้าดอกออกมาตรงกับช่วงแล้งอากาศร้อนมากเกสรจะฝ่อทำให้ผสมไม่ติดเช่นกัน แก้ไขโดยสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศและที่พื้นดินในทั้งในแปลงปลูกและรอบๆแปลงปลูก.......มาตรการบำรุงต้นให้สมบูรณ์อยู่เสมอตั้งแต่ก่อนเปิดตาดอกจะช่วยลดความสูญเสียได้เป็นอย่างมาก
- การไม่ใช้สารเคมีเลยติดต่อกันเป็นเวลานานๆจนมีผึ้งหรือมีแมลงธรรม
ชาติอื่นๆเข้ามาจำนวนมาก แมลงเหล่านี้จะช่วยผสมเกสรส่งผลให้ติดผลดกขึ้น
- การบำรุงตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอกจนกระทั่งมีดอกออกมาควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ดีขึ้น
6.บำรุงผลเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- นำอินทรีย์วัตถุกลับเข้าคลุมโคนต้นให้เหมือนเดิม
- ใส่ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการใส่เมื่อช่วงเตรียมดิน
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม -5 ม./ครั้ง/เดือน
- ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
เริ่มปฏิบัติหลังจากกลีบดอกร่วง หรือขนาดผลเท่าเมล็ดถั่วเขียว
7.บำรุงผลกลาง
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + ไคโตซาน 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วันฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 21-7-14 (1/2 กก)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./ครั้ง/เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มลงมือบำรุงเมื่อเมล็ดเริ่มเข้าไคล การที่จะรู้ว่าผลเริ่มเข้าไคลแล้วจะต้องใช้วิธีสุ่มเก็บผลมาผ่าดูเมล็ดภายใน
- ให้กลูโคสหรือนมสัตว์สด 1 รอบ (ไม่ควรมากกว่านี้) เมื่ออายุผลได้ 50 เปอร์เซ็นต์
- ให้ทางใบด้วยฮอร์โมนสมส่วน + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 2-3 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลางจะช่วยบำรุงขยายขนาดผลให้ใหญ่และเนื้อแน่นขึ้นแต่เมล็ดมีขนาดเท่าเดิม
- การบำรุงระยะผลขนาดกลางต้องให้น้ำสม่ำเสมอแต่ต้องไม่ขังค้าง ถ้าได้รับน้ำน้อยนอกจากจะทำให้ผลไม่โต หากมีฝนตกหนักลงมาก็อาจจะทำให้ผลแตกผลร่วงได้
- ถ้าติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน. 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลขนาดกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากแบกภาระเลี้ยงผลจำนวนมากบนต้น
8.บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-0-50 (200 กรัม) หรือ 0-0-50 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.(เน้น กำมะถัน) + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. หรือ น้ำ 100ล. + มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + กลูโคสหรือนมสัตว์สด 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- เปิดหรือไม่เปิดหน้าดินโคนต้นและนำอินทรียวัตถุออกหรือไม่ต้องนำออกก็ได้
- ให้ 13-13-21 หรือ 8-24-24 (1-2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติก่อนเก็บเกี่ยว 10-20 วัน
- ช่วงผลแก่จัดใกล้หรือก่อนเก็บเกี่ยวต้องงดน้ำเพื่อให้เนื้อแห้งกรอบ สีและกลิ่นดี
- การให้แคลเซียม โบรอน 1 ครั้งก่อนเก็บเกี่ยวจะช่วยป้องกันผลแตกผลร่วงได้ดี
- การให้กำมะถัน 1 ครั้งก่อนเก็บเกี่ยวจะช่วยบำรุงผลให้สีของเปลือกสวย
- การสุ่มเก็บผลลงมาผ่าพิสูจน์ภายในก่อนลงมือเก็บเกี่ยวจะทำให้รู้ว่าควรเก็บเกี่ยวได้แล้วหรือต้องบำรุงต่อไปอีกสักระยะหนึ่งจึงเก็บเกี่ยว
- การบำรุงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวโดยให้ทางรากด้วย 13-13-21 จะทำให้ต้นโทรม หลังเก็บเกี่ยวผลสุดท้ายไปจากต้นแล้วต้องเร่งบำรุงเพื่อฟื้นฟูสภาพต้นเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมาทันที
- การให้ 8-24-24 เหมาะสำหรับต้นที่มีผลหลายรุ่นในต้นเดียวกันซึ่งนอกจากหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตจนหมดต้นแล้วต้นไม่โทรม ช่วยบำรุงผลรุ่นหลังต่อ และทำให้ต้นมีความสมบูรณ์พร้อมสำหรับให้ผลผลิตรุ่นปีต่อไปอีกด้วย
|
||||
“ อโวคาโด” |
ผลไม้รูปร่างประหลาดผิวดำขรุขระ เมื่อผ่าออกจะพบเมล็ดใหญ่มีเนื้อนิ่มสีเขียว นามว่า “อโวคาโด” นี้ดูจะห่างไกลจากความคุ้นเคยของคนไทยโดยเฉพาะคนไทยในประเทศไทย ผู้เขียนจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ทำงานอยู่ที่เมืองไทยนั้น เจ้านายเป็นฝรั่งอเมริกันได้นำผลอโวคาโด เข้าใจว่าซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตของฝรั่งในเมืองไทย นำมาให้ลองชิมกัน หลายๆคนเมื่อได้ชิมแล้วก็เบือนหน้าหนีเพราะกลิ่นเขียวๆมันๆเลี่ยนๆและไม่มีรสหวานของอโวคาโดไม่ถูกปากคนไทยที่ชอบผลไม้รสจัด เทียบกันไม่ติดกับทุเรียนซึ่งมีเนื้อคล้ายๆกัน บางคนถึงกับพูดว่ากินอโวคาโดนี้กินกล้วยยังอร่อยเสียกว่า อโวคาโดจึงไม่เป็นที่นิยมในเมืองไทย นั่นก็เป็นเพราะคนไทยกินอโวคาโดไม่เป็นนั่นเอง แท้จริงแล้วอโวคาโดนี้เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารมาก ถึงแม้อโวคาโดจะมีแคโลรี่มากและ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ของแคโลรี่นั้นมาจากไขมัน ซึ่งเรามักจะกลัวว่าทำให้อ้วน ในความเป็นจริงไขมันในผลอโวคาโดนี้เป็นmonounsaturated fat ซึ่งเป็นไขมันตัวดีที่จะไปช่วยเพิ่ม high-density lipoprotein (HDL) cholesterol ที่ร่างกายต้องการเข้าไปล้างลิ่มไขมันในเส้นเลือด ฉะนั้นอโวคาโดจึงเป็นผลไม้ที่สมควรรับประทานเป็นประจำนอกจากนี้อโวคาโดยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียมซึ่งมีมากกว่ากล้วยถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ อันโปแตสเซียมนี้เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ช่วยในการทำงานของสมองและไต ผลอโวคาโดอุดมไปด้วยไวตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค มีไวตามินอี ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญอันเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และไวตามินเค ซึ่งช่วยให้เลือดแข็งตัวและซ่อมแซมผนังเส้นเลือด นอกจากนี้อโวคาโดยังมีกากใยมากซึ่งช่วยเพิ่มไฟเบอร์ในร่างกายช่วยทำให้อิ่มและขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดี ดังนั้นอโวคาโดจึงเป็นผลไม้ที่ต้องรับประทานไม่ใช่เพื่อความอร่อยแต่เพื่อเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ
เครื่องปรุง
นำทุกอย่างมาผสมให้เข้ากันดีแล้วใส่ในกล่องที่มีฝาปิด แช่ตู้เย็นเก็บไว้รับประทานได้สามถึงสี่วัน จึงควรทำทีละน้อย กัวคาโมลีนี้ไม่ควรซื้อที่ทำสำเร็จและไม่ควรรับประทานเวลาไปทานอาหารแม็กซิกันที่มักจะมีสลัดบาร์ที่มี ซัลซา กับกัวคาโมลี วางให้คนตักอยู่เพราะมีการปนเปื้อนของอาหารโดยเฉพาะเชื้อโรคที่ทำให้ท้องร่วง อาหารสองอย่างนี้ติดอันดับอาหารที่ทำให้คนป่วยมากที่สุดในอเมริกา
กัวคาโมลีกับแป้งตอติลลา ต้นกำเนิดของอโวคาโดนั้นมาจากรัฐพิวบาประเทศแม็กซิโก มีการค้นพบหลักฐานของการบริโภคอโวคาโดนี้ในถ้ำตั้งแต่๑๐,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล คำว่า “อโวคาโด” นี้เป็นภาษานาวาทเทิล ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองของแม็กซิโก มีความหมายว่า “ลูกอัณฑะ” ซึ่งเข้าใจว่าลักษณะของผลดูคล้ายกับลูกอัณฑะ ดังนั้นจึงมีความเชื่อกันว่า การรับประทานอโวคาโดจะช่วยเสริมความต้องการทางเพศได้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นความจริง อโวคาโดแพร่หลายในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ต้นอโวคาโดจะมีความสูงถึง ๒๐ เมตร ทนทานต่ออากาศหนาวเย็นได้ถึงศูนย์องศาเซลเซียส ต้องการปุ๋ยและน้ำที่พอเพียง ฉะนั้นการปลูกอโวคาโดในแคลิฟอร์เนียร์นี้จึงมีต้นทุนที่สูงกว่าอโวคาโดในแม็กซิโก อเมริกาพยายามหยุดยั้งการนำเข้าอโวคาโดจากแม็กซิโกเพราะต้องการปกป้องชาวไร่ของตน เนื่องด้วยอโวคาโดแม็กซิกันนั้นมีราคาต้นทุนที่ถูกกว่า ในช่วงปี ๑๙๙๔ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการออกข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศNorth American Free Trade Agreement (NAFTA) ประเทศแม็กซิโกได้โอกาสพยายามส่งอโวคาโดเข้าอเมริกา แต่ถูกอเมริกากีดกันโดยอ้างว่าอโวคาโดแม็กซิกันนั้นมีแมลงและมีเชื้อโรคที่อาจจะเข้ามาทำลายและเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์วิทยาในอเมริกา อย่างไรก็ตามแมลงเหล่านั้นก็หาทางเข้ามาในอเมริกาจนได้ และท้ายที่สุดอเมริกาก็ต้องยอมจำนน ปัจจุบันนี้อโวคาโดที่เราเห็นทั่วไปนั้นกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์นำเข้าจากแม็กซิโก
แฮส อโวคาโด อโวคาโด พันธุ์ที่เราเห็นอยู่ทั่วไปนั้นเรียกว่าพันธุ์ แฮส (Hass) แฮสอโวคาโดจะมีสีค่อนข้างดำมีผิวขรุขระ ผู้ที่คิดค้นแฮสอโวคาโดนี้ขึ้นมาเป็นบุรุษไปรษณีย์นามว่า รูดอล์ฟ แฮส เขาเป็นเกษตรกรสมัครเล่นแห่งเมืองวิสเทีย แคลิฟอร์เนียร์นี้เอง แฮสปลูกต้นอโวคาโดจากเมล็ด โดยใช้เมล็ดจากที่ต่างๆที่หาได้ นำมาปลูกในหลุมเดียวกันหลุมละสามต้น เขาจะเลือกเฉพาะต้นที่แข็งแรงที่สุดเอาไว้ อาจจะเกิดจากการข้ามสายพันธุ์ของมันเองหรือโชคช่วยอย่างไรก็ตาม ต้นแฮสอโวคาโดต้นแรกก็ถือกำเนิดขึ้น มีลักษณะแปลกกว่าอโวคาโดทั่วไปคือมีผลกลมกว่าและมีรสชาติหอมอร่อยและมีรสมันเหมือนถั่ว แฮสจดทะเบียนลิขสิทธิ์แฮสอโวคาโดของเขาเมื่อปี ๑๙๓๕ และจากนั้นเป็นต้นมาแฮสอโวคาโดก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว และปัจจุบันกลายเป็นอโวคาโดพันธุ์ที่มีขายมากกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ในอเมริกา
ที่มา: http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=116 |